วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Siberian Husky

Siberian Husky

Siberian Husky

เป็นสุนัขขนาดกลาง ขนฟูแน่น จัดอยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน มีต้นกำเนิดทางตะวันออกของไซบีเรีย เพาะพันธุ์มาจากสุนัขในวงศ์สปิตซ์ มีลักษณะขน 2 ชั้นฟูแน่น, หางรูปเคียว, หูเป็นรูปสามเหลี่ยมตั้งชัน และลายที่เป็นลักษณะเฉพาะ

ไซบีเรียนฮัสกีเป็นสุนัขที่แข็งแรง คล่องแคล่ว เต็มไปด้วยพลัง และยืดหยุ่น เป็นคุณสมบัติที่สืบทอดจากบรรพบุรุษที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่หนาวเย็นอย่างรุนแรงของไซบีเรีย และจากการเพาะพันธุ์ของชาวชุกชี (Chukchi) ที่อาศัยอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเอเชีย สุนัขถูกนำเข้ามาในอะแลสกา ระหว่างช่วงตื่นทองที่เมืองนอมน์ (Nome) และแพร่เข้าสู่สหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาในฐานะสุนัขลากเลื่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นสุนัขเลี้ยงตามบ้านในภายหลังอย่างรวดเร็ว
A medium size dog, dense fluffy dog in the manual. Originated in eastern SiberiaBreed of dog in the Spitz family has 2full hair tight, sickle tail, erect triangular earsAnd patterns that are characteristic 

Siberian Husky dog is strong, agile and powerful and flexible features inherited from their ancestors came from the extremely cold and harsh environment of Siberia. And from the breeding of the Chukchi (Chukchi) living in northeasternAsia. Dogs were imported into Alaska. During the Gold Rush NOM's (Nome) and spread to the United States and Canada as sled dogsBefore switching to a dog in the home quickly.

 ลักษณะทั่วไป


ไซบีเรียนฮัสกีมีรูปร่างลักษณะภายนอกคล้ายกับอลาสกันมาลามิวท์เช่นเดียวกับสายพันธุ์อื่นๆที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากสุนัขวงศ์สปิตซ์เช่นซามอย ไซบีเรียนมีขนหนาแน่นกว่าสุนัขสายพันธุ์อื่น มีสีและรูปแบบขนที่หลากหลาย โดยปกติมีสีขาวที่เท้า, ขา, ท้อง, รอบตาหรือเป็นหน้ากากที่หน้า และที่ปลายหาง ทั่วไปมีสีดำ-ขาว, เทา-ขาว, ทองแดง-ขาว, และขาวปลอด และยังมีแบบที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะ เช่น สีอ่อน แต้มจุด แว่นตา ฯลฯ บางครั้งก็มีลักษณะคล้ายหมาป่าเกิดขึ้น แม้ว่าในการพัฒนาพันธุ์ไม่มีความใกล้ชิดกับหมาป่าหรือสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดเลย คิดว่าเกิดจากการเพาะพันธุ์ที่ไซบีเรียแล้ว
ไซบีเรียนฮัสกี "ตา 2 สี", "จมูกหิมะ"(สีแดง)
ตา

สีตาของไซบีเรียนฮัสกีที่เป็นที่ยอมรับมีสีฟ้าหรือน้ำตาลเข้ม, เขียว, น้ำตาลอ่อน, เหลือง/อำพัน, "แก้วตาหลายสี" หรือตาเฮเซล (Hazel) เป็นจุดบกพร่องร้ายแรงที่แสดงวงสีต่างกันในแก้วตา รวมถึงตาข้างนึงสีน้ำตาลอีกข้างสีฟ้า (complete heterochromia) หรือตาข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างมีสี "แบ่งส่วน" น้ำตาลครึ่งฟ้าครึ่ง (partial heterochromia) นี่คือสีตาทั้งหมดที่ถูกพิจารณายอมรับโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัขแห่งสหรัฐอเมริกา ตาต้องเป็นรูปอัลมอนด์ เว้นระยะห่างกันปานกลาง วางตัวเฉียงเล็กน้อย
หูและหาง

หูเป็นรูปสามเหลี่ยม, มีขนสมบูรณ์, ขนาดกลาง, และตั้งชัน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยๆในการพัฒนาพันธุ์โดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข เช่นสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (สหรัฐอเมริกา) ที่มีรูปหูที่เรียกว่าหูผึ่ง (prick ears) หางเป็นพู่เหมือนหางหมาจิ้งจอกรูปเคียวโค้งเหนือหลังและลากหางไปด้านหลังเมื่อเคลื่อนไหว ไซบีเรียนฮัสกีส่วนมากมีสีขาวตรงปลายหาง หางต้องไม่โค้งจนแตะหลังเหมือนสปิตซ์ สีออกแกมขาว
ขน

ขนของไซบีเรียนฮัสกีมี 2 ชั้น ขนชั้นในที่หนาแน่นและขนชั้นนอกที่ยาวกว่า ขนชั้นนอกยาวตรงและบางส่วนเหยียดเรียบไม่ชี้ชันตั้งตรงจากลำตัว ที่สามารถปกป้องมันจากความรุนแรงของฤดูหนาวขั้วโลกเหนือได้ (−50 °C to −60 °C) แต่ขนที่หนานั้นทำให้ระบายความร้อนได้ยากในฤดูร้อน ส่วนขนยาวแบบที่เรียกว่า "ฮัสกีขนแกะ (wooly huskies)" นั้นไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่มีสิทธิ์ลงแข่งในสนามประกวด ดูสีขนเพิ่มเติม
จมูก

จมูกของไซบีเรียนฮัสกีมีสีดำในสีเทาในสุนัขสีแทนและสีดำ สีเลือดหมูในสุนัขสีทองแดง และอาจจะมีสีเนื้อในสุนัขสีขาว ไซบีเรียนฮัสกีบางตัวมีจมูกที่เรียกว่า "จมูกหิมะ" เป็นสภาวะที่เรียกว่าผิวด่าง (hypopigmentation) ในสัตว์ และสุนัขที่มี "จมูกหิมะ" นั้นสามารถลงประกวดได้ในสุนัขระดับประกวดไม่ค่อยจะมีจมูกทรงแหลมหรือสี่เหลี่ยมนัก
ขนาด

ในการเพาะพันธุ์ ไซบีเรียนฮัสกีมีมาตรฐานดังนี้ เพศผู้สูง 21 - 23.5 นิ้ว (53.5 - 60 ซ.ม.) หนัก 45 - 60 ปอนด์ (20.5 - 28 กิโลกรัม) เพศเมียมีขนาดเล็กกว่า สูง 20 - 22 นิ้ว (50.5 - 56 ซ.ม.) หนัก 35 - 50 ปอนด์ (15.5 - 23 กิโลกรัม)
อารมณ์
ไซบีเรียนฮัสกีก็เหมือนสุนัขใช้งานทั่วๆไปที่มีพลังงานสูงต้องการการออกกำลังมาก มันควรได้รับการปฏิบัติแบบเพื่อนเดินทางและสุนัขลากเลื่อนไม่ใช่สุนัขอารักขา การรวมกันของปัจจัยนี้ส่งผลให้ไซบีเรียนฮัสกีมีจิตประสาทที่สุภาพอ่อนโยนและซื่อสัตย์

ชาวอินูอิต (Inuit) พัฒนาสายพันธุ์นี้ขึ้นมาเพื่อใช้ลากเลื่อนหนักเป็นระยะทางไกลๆและสามารถเอาตัวรอดได้การภูมิประเทศที่หนาวเย็นแบบทรุนดรา (tundra) และช่วยในการล่าสัตว์
ไซบีเรียนฮัสกี เพศเมีย อายุ 6 เดือน กำลังเล่นในหิมะ
พฤติกรรม

พฤติกรรมของไซบีเรียนฮัสกีถูกมองว่าเป็นตัวแทนบรรพบุรุษของสุนัขบ้าน นั่นก็คือหมาป่า มันแสดงออกในรูปแบบพฤติกรรมของเทือกเถาเหล่ากอแบบกว้างๆบ่อยครั้งที่ชอบหอนมากกว่าเห่า การแสดงออกที่มากเกินไปเกิดจากการถูกขับด้วยสัญชาตญาณในการล่า บุคลิกลักษณะของสุนัขที่เกิดจากการเพาะพันธุ์บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดในพฤติกรรมการละเล่นไล่จับสิ่งต่างๆในสิ่งแวดล้อมที่สุนัขแสดงออกมาคล้ายกับสุนัขล่าเนื้อมากกว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง มันชอบวิ่งเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะจากประวัติการเพาะพันธุ์ในอเมริกาเหนือ ในการฝึกสุนัขให้เชื่อฟังคำสั่งควรใช้เวลา 15 นาที/วันดีที่สุด และทำทุกๆวัน แต่บางครั้ง ไซบีเรียฮัสกี้จะเป็นสุนัขที่คนชอบเห็นว่าเป็นสุนัขที่ขี้เล่นหรือชอบวิ่งเล่นมากกว่าสุนัขพันธ์อื่นๆ
สุขภาพ

ไซบีเรียนฮัสกีมีอายุเฉลี่ยราวๆ 12 - 16 ปี ข้อบกพร่องในตาแต่กำเนิดที่พบจากการเพาะพันธุ์ เช่น ต้อกระจกบาง, กระจกตาเจริญผิดเพี้ยน, และจอตาฝ่อรุกลาม การเจริญผิดปรกติของเอวก็พบได้บ่อยเช่นกันในการเพาะเลี้ยงเหมือนกับสุนัขขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ทั่วไป

ไซบีเรียนฮัสกีที่เป็นสุนัขลากเลื่อนอาจมีโรคอื่นๆอีก เช่น โรคกระเพาะ, หลอดลมอักเสบ, และแผลในกระเพาะ

 characteristics


Siberian Husky with outward similarities with the Alaskan Malamute Club as well as other species to develop varieties ofSpitz dog family such SamoyedSiberians have a thicker coat than most other breeds of dogThere are a variety ofcolors and patterns,Typically have white feet, legs, abdomen, around the eye or facialAnd at the tail end Common colors - black, white, gray - white, copper - white and off-white and has a doctorate characteristics such as light marking the glasses, etc. Sometimes it is like wolf happens. Although the development of no closer to a wolf, or a species that closely yet. Think of Siberia and breeding.
Siberian Husky "two black eyes", "snow nose" (red).
Eye

Eye Siberian Husky was recognized with a blue or dark brown, green, brown, yellow / amber, "the apple of many colors" or eye Hazel (Hazel) is a serious shortcoming that show the different colors on. corneal Including eye, one brown, the other blue (complete heterochromia), or one eye or both two sides with "segmentation" brown half blue half (partial heterochromia) This is a black eye on all that is considered acceptable by the society development. dog of the United States Have almond shaped eyesModerately spaced Slightly oblique orientation
Ears and tail
 

The ears are triangularwith perfect hair, medium, and application errors that occur frequently in the development ofthe breed by the Kennel ClubSuch as the Kennel Club (USA) with the ear is called ear (prick ears) tassel-like tail, fox tail is sickle-shaped tail curved over the back and drag it to the back when movingSiberian Husky was mostly white at the tip of the tail. The tail must not bend the backs like Spitz whitish color.
Coat

Siberian fur coat has two layers, the outer hair density and length. Outer hair long, straight, flat stretches and some ofthe stories do not match the body. That can protect it from the harshness of the winter North Pole (-50 ° C to -60 ° C ), but the thick fur that makes them hard in the summer heatThe long wool called "Husky Fleece (wooly huskies)" is not acceptableAnd is not eligible to compete in the contestSee more hair color
nose

Siberian nose is black in gray, tan and black dogCrimson copper color in dogsAnd may be flesh-colored in white dogs.Siberian some nose is called "snow nose" is a skin condition called alkali. (hypopigmentation) in animals and dogs with"snow nose" that can be contested in the contest dog are rarely sharp or square shape of the nose.
size

In breeding Siberian high standards as males 21 to 23.5 inches (53.5 to 60 cm) Weight 45 - 60 lbs (20.5 to 28 kg) femalewith smaller height 20 - 22 inches (50.5 to 56 cm. . room.) weighs 35 - 50 pounds (15.5 to 23 kg).
emotions

                                                        Siberian Husky with two eyes colours.


                                                     Siberian Husky with ice blue eyes.
  Siberian Husky dog is like a typical high energy demands of exerciseIt should be treated with fellow travelers and sled dog, not a guard dogThe combination of these factors resulted in a Siberian mental courteous and honest.

The Inuit (Inuit) of this species to be used as a heavy sled, long distance and can survive the cold landscapes ModelDrama (tundra) and help in the hunt. 
behavior

Behavior of the Siberian Husky be seen as representing the ancestors of domestic dogsThere is a wolf It manifests itself in the behavior patterns of the USSR, often broad like whining than barking to show that too much was being drivenby the instinct to huntThe personality of the dog from breeding often evident in their behavior in the environment playschasing things that appear similar to greyhound dogs rather than pets. It's like running a Probably because of breedinghistory in America. To train the dog to obey commands should only take 15 minutes / day, best and do every day, butsometimes Siberian Husky is a dog that likes to see that the dog is playful and likes to run over dogs more.
Health

Siberian Husky with an average age of about 12-16 years, but the origin of the defect in the eye of some breeding, such as cataractscorneal distortion, growthand retinal atrophy spread offenseAbnormal growth of the waist is common as well as in the culture medium or large dogs in general.

The Siberian Husky is a sled dog may have other diseases such as gastritis, bronchitis, and stomach ulcers.


credit : www.wikipidia.com

ยาน LRO สำรวจดวงจันทร์

ยาน LRO สำรวจดวงจันทร์

ยาน LRO สำรวจดวงจันทร์

Images from the  ภาพจากยาน
Lunar Reconnaissance Orbiter

 NASA's Lunar Reconnaissance Orbiter (LRO) was launched in June, 2009, and is currently orbiting the Moon around its poles at a low altitude of just 50 kilometers (31 miles). The primary objective of the LRO is to prepare for future lunar exploration, scouting for safe and compelling landing sites, potential resources (like water ice) and more. The high-quality imagery used in the mapping of the lunar surface is unprecedented, and a few early images have included detailed overviews of the landing sites of several Apollo missions, some 40 years after they took place. LRO is now on a one year mission, with possible extensions up to five years. Collected here are several recent LRO images, and a few then-and-now comparisons of Apollo landing sites.
ยานสำรวจดวงจันทร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติอเมริกา (นาซา)  ยานลูนาร์ รีคอนเนสซอง ออร์บิตเตอร์  (LRO)  ถูกปล่อยสู่อวกาศในเดือนมิถุนายน 2009 และตอนนี้ ( ยานนี้จะมีภารกิจสำรวจเป็นเวล่า 5 ปี) ก็กำลังโคจรรอบดวงจันทร์ บริเวณทั้งสองขั้วของดวงจันทร์  ในระดับต่ำ แค่ 50 กม. (31 ไมล์)  จุดประสงค์ของการส่งยานนี้ไปโคจรรอบดวงจันทร์ ก็เพื่อทำการลาดตระเวน (Reconnaissance) ก่อนการสำรวจจริงจังในวันข้างหน้า  เพื่อหาจุดที่ปลอดภัยในการร่อนลง  และมีทรัพยากร เช่น น้ำแข็ง หรือไม่   ..นี่เป็นภาพส่วนหนึ่งที่ได้จากยานนี้
Near the lunar north pole, many craters on the floor of Peary crater experience permanent shadow inside, and some have permanent illumination on the higher crater rims. Peary is a key exploration site for future astronauts due its proximity to potential resources. Image height is 9 km (5.5 mi). Image acquired July 11th, 2009. More(NASA/GSFC/Arizona State University)
ที่ใกล้ขั้วเหนือของดวงจันทร์ มีหลุมอุกกาบาตมาก บนอาณาบริเวณที่เรียกว่า พื้นเพียรี  หลุม เหล่านี้จะมองไม่เห็นเพราะมีเงาบัง  ขณะที่ส่วนขอบหลุมก็จะสว่างหน่อย  การสำรวจพื้นเพียรีนี้ เป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับนักบินอวกาศในอนาคต


2
The site of the landing of Apollo 11, named "Tranquility Base", seen by LRO as it passed overhead on October 1st, 2009. On July 20th, 1969, NASA astronauts Neil Armstrong, and Edwin "Buzz" Aldrin landed on the surface of the moon for the first time, spending less than a day there, and only 2.5 hours exploring on foot. The large bright spot at center is the Lunar Module (LM) descent stage, its four foot pads barely visible. The dark halo around the LM is from the astronauts' heavy foot traffic. Several experiments can also be seen, and a trail leading to the right left by Armstrong as he trekked to Little West crater. More (NASA/GSFC/Arizona State University) # 
Tranquility Base  เป็นจุดที่ยานสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ ลูนาร์ โมดุล อีเกิล  ของโครงการอพอลโล-11 เคยมาลงจอดที่นี่ เมื่อปี 20 กรกฎาคม 1969 (40 กว่าปีก่อน)  โดยนักบินอวกาศ นีล อาร์มสตรอง  และ บัสซ์ แอนดริน  ทั้ง สองท่าน ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง  จุดสว่างตรงกลาง เป็นขาของยานลูนาร์โมดุลอีเกิลทิ้งไว้ ยังเห็นแผ่นรองขาตั้งยานได้ลางๆ  ส่วนเงาที่อยู่รอบๆ ขาตั้งยาน ก็เป็นรอยเท้าที่ย่ำไปย่ำมาของนักบินอวกาศ การทดลองต่างๆ ของนักบินอวกาศยังมีให้เห็น
3
On July 20th, 1969, NASA astronaut Neil Armstrong looks back at the Apollo 11 Lunar Module from Little West crater - oriented to the previous overhead photo, Armstrong would be standing in the center, looking to the left. (NASA) #
20/07/69 นักบินอวกาศ นีล อาร์มสตรอง หันกลับมามองยานลูนาร์โมดุล (ยานนี้จะเรียกอีกชื่อว่า ยานอีเกิล หรือนกอินทรี ซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกานั่นเอง-ผู้แปล)   อาร์มสตรอง จากปล่องภูเขาไฟขนาดย่อม  เขายืนตรงกลางและเหลียวไปทางขวา
4
Looking the opposite direction as the previous photo, also on July 20th, 1969, NASA astronaut Neil Armstrong snapped this panorama of an experiment placed near Little West crater. (NASA) #
มองทิศตรงข้ามกับรูปที่แล้ว  จากภาพพาโนรามา จะเห็นเครื่องมือทดลองของอพอลโล-11 ตั้งแต่ปี 1969 (45 ปีมาแล้ว) ก็ยังอยู่
5
Two and a half days after NASA's earlier LCROSS experiment impacted the lunar surface searching for water, the LRO spacecraft slewed towards Cabeus crater near the Moon's south pole, to acquire an overview image of a portion of the northern rim from the southwest on October 11th, 2009. The distance from left to right is about 60 km (37 mi) and from foreground to background in the center is about 50 km (31 mi). The LCROSS impact was just off the bottom center of the panorama.More (NASA/GSFC/Arizona State University) #
บริเวณใกล้ขั้วใต้ของดวงจันทร์  ไปสำรวจดูว่าจะมีน้ำแข็งอยู่หรือไม่

6
On September 30, 2009, LRO took this photo of a spectacular field of ejecta from a fresh impact crater south of Mare Tranquillitatis. The height of the image covers about 2.5 km (1.5 mi). More (NASA/GSFC/Arizona State University) #
7
The Apollo 12 landing site in Oceanus Procellarum, as imaged from the LRO mapping orbit on October 5th, 2009. On November 19, 1969, NASA astronauts Pete Conrad and Alan Bean landed on the Moon, setting their Lunar Module (center) down within walking distance of NASA's Surveyor 3 lunar lander probe. Surveyor 3 had landed two years earlier in the dark smudge at lower right. The tracks leading to the upper left end at a large package of experiments left there called the Apollo Lunar Surface Experiments Package, or ALSEP. More (NASA/GSFC/Arizona State University) #
เป็นจุดที่ยานสำรวจของ โครงการอพอลโล-12 ลงจอด  เป็นบริเวณที่คล้ายกับทะเล   19 พฤศจิกายน 1969  นักบินอวกาศขององค์การนาซา พีท คอนราด และ อลัน บีน  ได้ลงไปสำรวจดวงจันทร์
8
On November 19, 1969, astronaut Alan Bean captured this panorama of the Apollo 12 landing site, with Pete Conrad attending to the LM, and Surveyor crater to the left. Oriented to the previous overhead photo, this would be looking down and to the right from top center. (NASA) #
การลงจอดของยานสำรวจดวงจันทร์  โครงการอพอลโล-12  วันที่ 19 พฤศจิกายน 1969
9
Astronaut Pete Conrad next to the Surveyor III lander on November 20, 1969, the Lunar Module in the background. Oriented to the above overhead photo of the site, this would be looking toward the top left from the bottom right. Pieces of the lander were removed and returned to Earth after spending two years on the lunar surface. (NASA) #
นักบินอวกาศ พีท คอนราด  กับยานสำรวจเล็ก เซอร์เวเยอร์  -3                     20/11/1969
The inner rim of Milichius A crater in Mare Insularum, imaged by LRO on July 16th, 2009. Milichius A is approximately 9 km (5.6 mi) in diameter. More(NASA/GSFC/Arizona State University) #
ขอบหลุมอุกกาบาต มิลิเชียส   ถ่ายจากยาน LRO  16 /07/09

Looking across the limb of the Moon, LRO took this photograph as part of an image quality test shortly after entering its final mapping orbit on September 5th, 2009. The view is centered in the lunar highlands over 450 km northwest of Mare Humboldtianum at approximately 65.5°N, 55.6°E. More (NASA/GSFC/Arizona State University) #
A portion of a larger image of the eastern rim of Rozhdestvenskiy W crater at sunrise, showing the surface in stark relief on July 4th, 2009. More(NASA/GSFC/Arizona State University) #
ขอบหลุมอุกกาบาต ขณะพระอาทิตย์ขึ้น
This LRO image of the Apollo 17 landing site was acquired on October 1st, 2009. On December 11th, 1972, Apollo 17 touched down on the sixth and final lunar landing mission of the Apollo program. NASA astronauts Eugene Cernan and Harrison Schmitt spent over 3 days on the surface, setting up experiments and roaming around in their lunar rover over 4 separate EVAs. The Challenger descent stage is visible at center, surrounded by trails made by astronaut feet and the wheels of the lunar rover. The rover itself sits still, parked at center right (dark spot). The white spots at left are the many ALSEP experiments left there as well. More(NASA/GSFC/Arizona State University) #
จุดที่ยานของ โครงการอพอลโล-17  ทำการสำรวจ  11 ธันวาคม 1972  โดยนักบินอวกาศ ยูยีน เซอร์แมน และ แฮริสัน ชมิตช์  พวกเขาใช้เวลาสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์  กว่า 3 วัน  
The lunar rover for Apollo 17, called the LRV-3, sits in its final parking spot on the Mare Serenitatis, the Lunar Module in the background on December 13, 1972. Oriented to the photo above, this view is looking to the top left from right center. (NASA) #
ลูนาร์ โรเวอร์   (LRV-3)  ยานมีล้อวิ่งสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์  ของโครงการอพอลโล-17       13/12/1972
Looking up toward Earth, a boulder and the Moon's horizon in the foreground, at Station 2 of the Apollo 17 landing site. Photo taken on December 12th, 1972. (NASA) #
ท้องฟ้าของดวงจันทร์  มองเห็นดาวเคราะห์โลก สีฟ้า ปรากฏอยู่
A starkly beautiful region a few kilometers east of Hell E crater, which is located on the floor of the ancient Imbrian-aged Deslandres impact structure. Small, secondary craters can be identified, as well as distinctive lineations made apparent by the extreme lighting, representing ejecta from a nearby impact. Image height is approximately 3.5 km (2.1 mi). More (NASA/GSFC/Arizona State University) #
หลุมอุกกาบาต
The lunar south pole (center left), located on the rim of the 19-km diameter Shackleton crater, was imaged by LRO on August 25th, 2009. The permanent shadow may possibly harbor water ice, and the tall well-illuminated peaks provide opportunities for solar power during most of the year for future human habitation. More (NASA/GSFC/Arizona State University) #
ขั้วใต้ของดวงจันทร์

planet ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

planet


ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ 



         ระบบสุริยะจักรวาล มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและมีดาวเคราะห์ 8 ดวง โคจรอยู่รอบๆ วัตถุที่ไม่มีแสงในตัวเองในระบบสุริยะของเรา มีอยู่นับพันล้านชิ้น มีทั้งดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และอื่นๆ แต่ที่นักดาราศาสตร์ได้จัดให้เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะนั้นมีอยู่ทั้งหมด 8 ชิ้น หรือ 8 ดวงด้วยกันเท่านั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
         The solar system The sun is the center and eight planets orbit around an object in itselfno light in our solar system. There are billions of pieces Both planets dwarf Planet Asteroids, comets, and so astronomers have classified as a planet are all 8 pieces or 8 bulbs with each other. The details are as follows:

 1. ดาวพุธ (Mercury)
         ดาวพุธเป็นดาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดและมีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาดาว เคราะห์ทั้งหมด โดยอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 46 ล้านกิโลเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4,879.4 กิโลเมตร หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 87 วัน ดาวพุธไม่มีดวงจันทร์หรือดาวบริวาร
         Mercury is the closest star to the Sun and the smallest among the starsall victims By staying away from the sun, 46 million miles in diameter 4879.4 kilometers revolves around the sun one cycle takes 87 days, Mercury has no moons or satellites.



2. ดาวศุกร์ (Venus)
           ดาวศุกร์หรือดาวประจำเมือง เป็นดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลก จนถูกเรียกว่าดาวคู่แฝด เป็นดาวที่มีแสงสว่างจ้าที่สุดเมื่อมองจากโลกของเรา ดาวศุกร์อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 107 ล้านกิโลเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,103.7 กิโลเมตร หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 224.7 วัน ดาวศุกร์ไม่มีดวงจันทร์หรือดาวบริวาร
            Venus or Venus A star that is similar in size to Earth. It was called Star TwinsThestars are bright when viewed from Earth. Venus is from the Sun, 107 million kilometers in diameter and 1 round 12,103.7 kilometers revolves around the Sun, Venus takes 224.7 days, no moon or moons.



3. โลก (Earth)
          โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 3 นับจากดวงอาทิตย์ เป็นดาวดวงเดียวในขณะนี้ที่พิสูจน์ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 149 ล้านกิโลเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,755 กิโลเมตร หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 365.25 วัน โลกมีดวงบริวาร 1 ดวงคือดวงจันทร์
            Our planet is the third planet from the sun. The single star now prove that a livingcreatureEarth is 149 million kilometers from the Sun has a diameter of 12,755 kilometersrevolves around the sun takes 365.25 days, the first round is the first satellite is the moon



4. ดาวอังคาร (Mars)
          ดาวอังคารหรือดาวแดง เป็นดาวลำดับถัดออกไปจากโลก อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 206.6 ล้านกิโลเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6,804.9 กิโลเมตร หมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 687 วัน ดาวอังคารมีดาวบริวาร 2 ดวง เป็นดาวขนาดเล็กมาก มีขนาดเพียง 13 และ 22 กิโลเมตรตามลำดับ
          Mars or Red The sequence star next to the world206.6 million kilometers from the sun, with a diameter of 6804.9 kilometers revolves around the sun one cycle takes 687 daysMars has two moons: the star is very small with only 13 and 22 km respectively.



5.ดาวพฤหัสบดี (Jupiter)
         ดาวพฤหัสบดี เป็น ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าโลก 11 เท่า หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 9.8 ชั่วโมง ซึ่งเร็วที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลา 12 ปี นักดาราศาสตร์อธิบายว่า ดาวพฤหัสเป็นกลุ่มก้อนก๊าซหรือของเหลวขนาดใหญ่ ที่ไม่มีส่วนที่เป็นของแข็งเหมือนโลก และเป็นดาวเคราะห์ที่มีดาวบริวารมากถึง 67 ดวง
          Jupiter is the largest planet in the solar system. Diameter 11 times longer than the earth rotates on its axis one cycle takes 9.8 hours, which is the fastest among these planets.1 round and orbits the sun every 12 years, astronomers explainedJupiter is a gas or liquid,larger clumpsThat is not solid like EarthMoons and planets with up to 67 satellites.


6.ดาวเสาร์ (Saturn)
        ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์ที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นดาวที่ประกอบไปด้วยก๊าซและ ของเหลวสีค่อนข้างเหลือง หมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 10.2 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบใช้เวลา 29 ปี ลักษณะเด่นของดาวเสาร์ คือ มีวงแหวนล้อมรอบ ซึ่งวงแหวนดังกล่าวเป็นอนุภาคเล็ก ๆ หลายชนิดรวมกัน และดาวเสาร์มีวงแหวนถึง 3 ชั้น นอกจากนี้ ดาวเสาร์ยังมีดาวบริวาร 62 ดวง หนึ่งในนั้นคือดวงจันทร์ไททัน (Titan) ซึ่งถือว่าเป็นดวงจันทร์ที่แปลกที่สุดในระบบสุริยะจักรวาล เพราะเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีบรรยากาศ และนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ดวงจันทร์ดวงนี้มีสภาพเหมือนโลกยุคแรก ๆ หากดวงอาทิตย์ร้อนขึ้นเมื่อไร น้ำแข็งบนดวงจันทร์จะละลาย และมีวิวัฒนาการคล้ายกันกับโลกเลยทีเดียว
         Saturn is the planet that we can not see with the naked eye. It consists of gas andstarsYellowish liquid 1 with the rotation period of 10.2 hours and the sun in one cycle takes29 points of Saturn is surrounded by a ringThis ring is a combination of small particles.Saturn has a ring and a 3-story addition, Saturn has 62 moons, one of which is the moon Titan(Titan), which is considered the most exotic moons in the solar system. It is the only moon inthe solar system with an atmosphereAnd scientists analyze the moon is like the early Earthwhen the sun heats up when. To melt ice on the moon And a similar evolution with the world.



7.ดาวยูเรนัส (Uranus)
          ดาวยูเรนัส หรือดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์แก๊สขนาดใหญ่ มีดวงจันทร์บริวาร 27 ดวง หมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 16.8 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลานานถึง 84 ปี ดาว ยูเรนัสประกอบด้วยก๊าซและของเหลว เช่นเดียวกับดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ทั้งนี้ ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ใหญ่เป็น ที่ 3 รองจากดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ โคจรห่างจากดวงอาทิตย์โดยเฉลี่ย 2,871 ล้านกิโลเมตร ทำให้มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก แต่เมื่อใช้กล้องโทรทัศน์ และรู้ตำแหน่งแน่ชัด ก็จะสามารถเห็นได้ในคืนฟ้าใสกระจ่าง
            Uranus is the planet Uranus a gas or large27 satellites are moons orbit takes 16.8hours and the first to orbit around the sun one time Uranus takes 84 years to include gas and liquid. Like Jupiter And the Saturn Uranus is the third largest planet after Jupiter and Saturnorbit from the Sun on average 2,871 million kilometers, making it difficult to see with the naked eyeBut when television cameras And know for sure It can be seen in the night sky clear.





8.ดาวเนปจูน (Neptune)
          ดาวเนปจูน หรือดาวเกตุ เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่เป็นที่ 4 ในระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 50,000 กิโลเมตร จุโลกได้ถึง 60 ดวง ระยะห่างเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 4,504 ล้านกิโลเมตร  หมุนรอบตัวเองครบรอบในเวลา 16 ชั่วโมงอยู่ไกลจากโลกมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่เท่านั้นจึงจะเห็นเป็นจุดริบหรี่ได้ สิ่งที่มนุษย์รู้เกี่ยวกับดาวเนปจูน ในทุกวันนี้ จึงเป็นข้อมูลที่ได้มาจากยาน วอยเอเจอร์ 2 ซึ่งโคจรสำรวจดาวเนปจูน ระยะใกล้ เมื่อ พ.ศ. 2532
            Neptune or Neptune as a planet as large as 4 in the solar system with a diameter of about 50,000 kilometers up the world at 60 the average distance from the Sun 4,504 million kilometers rotates itself around in 16 hours, is far from the world's poor. not visible to the naked eyeRequires a large telescope only to see a glimmer of it. What men know about Neptune intoday therefore is derived from the Voyager 2 spacecraft, which orbited Neptune close on2532.